รู้จัก Cybersecurity ตัวช่วยป้องกันข้อมูลไอทีสุดทันสมัย ตอบโจทย์การออกแบบ Smart Office

ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกวงการ การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบันในหลาย ๆ ออฟฟิศเริ่มมีการใช้แนวคิด Smart Office เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อป้องกันการถูกขโมยข้อมูลที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Cybersecurity หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องข้อมูลทางธุรกิจของคุณ 

ทำไมต้องมี Cybersecurity ใน Smart Office

การสร้าง Smart Office หรือสำนักงานอัจฉริยะกลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาประยุกต์ใช้ในสำนักงานช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้เกิดภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้น Cybersecurity หรือความปลอดภัยทางไซเบอร์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

วิธีป้องกันข้อมูลสำคัญใน Smart Office ที่นิยมใช้กัน

ที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง จะช่วยรักษาความปลอดภัยทางข้อมูลได้ ลดช่องโหว่งของภัยคุกคามออนไลน์ต่างๆ วิธีป้องกันข้อมูลสำคัญใน Smart Office ที่ออฟฟิศส่วนใหญ่นิยมใช้กัน คือ การสร้างรหัสส่วนตัวของพนักงาน ในอุปกรณ์ไอทีทุกชิ้นในสำนักงาน เอาไว้ใช้ตรวจสอบตัวตนของผู้ใช้งาน โดยรหัสเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 6 เดือน เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรได้

ประโยชน์ของ Cybersecurity ใน Smart Office

Cybersecurity ถือเป็นสิ่งที่ทุกออฟฟิศควรติดตั้งไปพร้อมกับการออกแบบ  Smart Office แม้จะมีต้นทุนที่สูง แต่คุ้มค่าในระยะยาว เพราะป้องกันได้ทั้งข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลธุรกิจ ที่มีมูลค่าความเสียหายมหาศาลจากการโจมตี ประโยชน์ของ Cybersecurity ใน Smart Office มีดังนี้ 

• ลดเสี่ยงในการถูกโจมตีทางข้อมูลได้สูงกว่าระบบอื่นๆ
• ปกป้องเครือข่ายจากแฮกเกอร์ ไม่ให้นำข้อมูลไปใช้ในทางทุจริต
• สร้างความเชื่อมั่นด้านข้อมูลให้กับลูกค้าและบริษัทคู่ค้าทางธุรกิจ
• มีความปลอดภัยสูงและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว

แนะนำเทคโนโลยี Cybersecurity ที่ช่วยในการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์

ถ้าคุณสนใจติดตั้งเทคโนโลยี  Cybersecurity ในออฟฟิศ แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มใช้ระบบโปรแกรมไหนดี วันนี้เรามี 4  เทคโนโลยีที่ช่วยในการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ มาแนะนำกัน

1. ไฟร์วอลล์ (Firewall) 

เป็นซอฟต์แวร์บนระบบเครือข่าย ที่ควบคุมการเข้า-ออกของข้อมูลและดูแลการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตต่างๆ  ป้องกันการโจมตีทางเครือข่าย  ช่วยบล็อคและสแกนไวรัสได้อัตโนมัติ 

2. ระบบตรวจจับการบุกรุก (Intrusion Detection System : IDS) 

ทำหน้าที่เฝ้าระวังและตรวจสอบกิจกรรมที่ผิดปกติภายในเครือข่าย หากพบการบุกรุกจะส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ดูแลระบบทราบ

3. การเข้ารหัสข้อมูล (Encryption) 

เป็นซอฟต์แวร์รหัสผ่าน ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางข้อมูล ใช้เก็บรักษาข้อมูลที่สำคัญโดยเฉพาะ ช่วยไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าถึงการใช้งานบนระบบเครือข่ายของบริษัทได้

4. การตรวจสอบสิทธิ์และการควบคุมการเข้าถึง (Access Control) 

กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลและระบบให้กับแต่ละบุคคลตามความจำเป็น เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่องค์กรควรทำ ก่อนติดตั้ง Cybersecurity

Cybersecurity อาจจะดูเป็นเรื่องใหม่ที่ทำให้พนักงานรู้สึกไม่คุ้นชิน ก่อนติดตั้งระบบ Cybersecurity แนะนำให้องค์กรควรเตรียมความพร้อมด้วยการประเมินความเสี่ยงและทรัพย์สินที่ต้องการปกป้อง เช่น ข้อมูลลูกค้าและระบบสำคัญ พร้อมตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน IT เพื่อระบุช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตี นอกจากนี้ ควรกำหนดนโยบายความปลอดภัยไซเบอร์อย่างชัดเจน โดยเน้นการควบคุมการเข้าถึงและจัดการรหัสผ่าน รวมถึงเลือกโซลูชัน Cybersecurity ที่สอดคล้องกับงบประมาณและความต้องการขององค์กร เช่น ไฟร์วอลล์หรือระบบตรวจจับการบุกรุก  

อีกทั้งควรจัดอบรมพนักงานเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อสร้างความตระหนักรู้และเตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคาม เช่น การหลีกเลี่ยงอีเมลฟิชชิ่ง พร้อมจัดทำแผนตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน เช่น การกู้คืนข้อมูล การเตรียมการเหล่านี้ช่วยให้องค์กรลดความเสี่ยงจากการโจมตี ใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างระบบความปลอดภัยที่แข็งแกร่งในระยะยาว

การสร้าง Smart Office ที่ปลอดภัยไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันข้อมูลสำคัญ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับพนักงานและลูกค้าได้อย่างยั่งยืน อีกทั้ง Cybersecurity เหมาะกับธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้เป็นอย่างดี